Kiss The Rain

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จริยธรรมและความปลอดภัย



  



การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว
 
       ความเป็นส่วนตัวคือสิทธิที่อยู่ตามลำพังและสิทธิที่เป็นอิสระจากการถูกรบกวนโดยไม่มีเหตุอันควร ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสารสนเทศ คือ สิทธิในการตัดสินใจว่าเมื่อใดข้อมูลสารสนเทศของบุคคลหนึ่ง จะสามารถเปิดเผยให้กับผู้อื่นได้ และภายใต้ขอบเขตอย่างไร

แนวทางการพัฒนาคุ้มครองความเป็นส่วนตัว
 
  ข้อมูลส่วนตัว ควรจะได้รับการตรวจสอบก่อนจะนำเข้าสู่ฐานข้อมูล
  ข้อมูลควรมีความถูกต้องแม่นยำ และมีความทันสมัย
  แฟ้มข้อมูลควรทำให้บุคคลสามารถเข้าถึง (ข้อมูลของตน) และตรวจสอบความถูกต้องได้
  ควรมีมาตรการป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลบุคคล ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเทคนิค และการบริหาร
  บุคคลที่สามไม่สมควรได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลโดยปราศจากการรับรู้หรืออนุญาตของเจ้าของ ยกเว้นโดยข้อกำหนดของกฎหมาย
ข้อมูลไม่ควรถูกเปิดเผยด้วยเหตุผลที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูล
 


 
 


อาชญากรรมคอมพิวเตอร์
 
  ปัจจุบัน อาชญากรรมคอมพิวเตอร์มีความก้าวหน้าและพัฒนาไปมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ระบาดไปทั่วโลก ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดความเสียหายด้านทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจจะเป็นไปได้ทั้ง
  เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเครื่องประกอบอาชญากรรม คือ ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และทำลายระบบคอมพิวเตอร์อื่น
 
เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป้าหมายของอาชญากรรม
 
2.1การเข้าถึงและการใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ถูกกฎหมายซึ่งมีทั้ง Hacker และCriminal    Hacker (Cracker)
     2.2 การเปลี่ยนแปลงและทำลายข้อมูลโดย
      virus : เป็นโปรแกรมที่ต้องทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่น
            worms : เป็นโปรแกรมอิสระที่สามารถจำลองโปรแกรมเองได้
     2.3 การขโมยข้อมูลข่าวสารและเครื่องมือ
     2.4 การสแกมทางคอมพิวเตอร์(Computer-related)

การรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์
  การรักษาความปลอดภัยให้ระบบสารสนเทศมีความปลอดภัย และยังช่วยลดข้อผิดพลาด การทำลายระบบสารสนเทศ มีระบบการควบคุมที่สำคัญ 3 ประการ คือ
การควบคุมระบบสารสนเทศ
การควบคุมกระบวนการทำงาน
การควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
 




 

 

ซอฟแวร์เพื่อการศึกษา



 
 
 
 
ความหมายของซอฟต์แวร์       การใช้งานระบบสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงาน เช่น การซื้อของโดยใช้บัตรเครดิต ผู้ขายจะตรวจสอบบัตรเครดิตโดยใช้เครื่องอ่านบัตร แล้วส่งข้อมูลของบัตรเครดิตไปยังศูนย์ข้อมูลของบริษัทผู้ออกบัตร การตรวจสอบจะกระทำกับฐานข้อมูลกลาง โดยมีกลไกหรือเงื่อนไขของการตรวจสอบ จากนั้นจึงให้คำตอบว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธบัตรเครดิตใบนั้น การดำเนินการเหล่านี้เป็นไปโดยอัตโนมัติตามคำสั่งซอฟต์แวร์

       ทำนองเดียวกันเมื่อซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บเงินจะใช้เครื่องกราดตรวจอ่านรหัสแท่งบนสินค้าทำให้บนจอภาพปรากฏชื่อสินค้า รหัสสินค้า และราคา ในการดำเนินการนี้ต้องใช้ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานได้

      ซอฟต์แวร์ คือ ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์เป็นลำดับขั้นตอนของการทำงาน ชุดคำสั่งเหล่านี้ได้จัดเตรียมไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์อ่านชุดคำสั่งแล้วทำงานตาม ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์จัดทำขึ้น และคอมพิวเตอร์จะทำงานตามคุณลักษณะของซอฟต์แวร์ที่วางไว้แล้วเท่านั้น


 
ซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา

  ความหมายของซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา  
         ซอฟต์แวร์ที่สามารถใช้โดยนักเรียนและครูเพื่อเพิ่มการเรียนการสอน แบบดั้งเดิม  
  และสร้างเครื่องมือการเรียนรู้
  ข้อดีของซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา  
        1.    สื่อเพื่อการศึกษามีจํานวนมาก มีความแพร่หลายมาก ยิ่งขึ้น ส่งผลต่อโอกาส
ทางการศึกษาของเยาวชน  
        2.    ขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้พิการ หรือผิดปกติ  เช่น หูหนวกตาบอด
สมาธิสั้น ออทิสติก
           3. เข้าถึงได้ง่าย มีรูปแบบแบบที่ยืดหยุ่นกับผู้ใช้ได้ ข้อมูล ที่ทันสมัย
   เยาวชนสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ข้อดีของซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา  
 

 
ประเภทของซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษา
    ซอฟต์แวร์เพื่อการบริหาร
-      การบริหารจัดการสถานศึกษา   
-      การบริหารจัดการองค์กรการศึกษา
-      การบริหารจัดการส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษา 
    ซอฟต์แวร์เพื่อการนําไปใช้
-      การนําไปใช้ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
-      การนําไปใช้ระหว่างผู้ปกครองกับผู้เรียน  
-      การนําไปใช้ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนเองและผู้เรียนกับสังคม

  ข้อเสนอแนะต่อซอฟแวร์การศึกษา
      สื่อเพื่อการศึกษามีจํานวนมาก ที่ยังเป็นซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์         
ทําให้ผู้ที่มีรายได้น้อยเข้าถึงยาก ควรมีหน่วยงานสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง      
ควรให้ความสําคัญในการพัฒนาผู้สอนให้สอดคล้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์อยู่เสมอ



อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา











   อินเทอร์เน็ตนับได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในยุคของสังคมข่าวสาร   อย่างเช่นปัจจุบันมันเป็นอภิมหาเครือข่ายระดับโลกที่มีกำลังการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว  จนนักวิชาการหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการคอมพิวเตอร์ได้คาดการเอาไว้ว่า อินเทอร์เน็ตจะเป็นเครือข่ายเดียวที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงคนทั่วทุกมุมโลก  ให้สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ทำลายพรมแดนที่ขวางกั้นระหว่างประเทศ ไร้ซึ่งคำว่าระยะทางกับการเวลามาเกี่ยวข้อง จึงพอพิสูจน์ได้ว่า อินเทอร์เน็ต คือ  เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับยุคของโลกไร้พรมแดน ที่กำลังทวีความสำคัญยิ่งในหน่วยงานต่างๆและวงการการศึกษารวมไปถึงบุคคลภายนอกที่สนใจอย่างแท้จริง
  
1.การใช้อินเทอร์เน็ต  เพื่อการติดต่อสื่อสาร อภิปราย ถกเถียง แลกเปลี่ยนและสอบถามข้อมูลข่าวสาร  ความคิดเห็นทั้งกับผู้สนใจศึกษาในเรื่องเดียวกัน หรือกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ 
2.การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการค้นหาข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง
       วิธีใช้บริการอินเทอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูล วิธีที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือผ่าน    ทาง  เวิลด์  ไวด์  เว็บ  เพราะการที่เว็บนั้นต้องรองรับข้อมูลแบบสื่อผสม  ( มัลติมีเดีย ) และเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกันให้เราได้ศึกษาอย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ยังรวบรวมอื่นๆ ทางอินเทอร์เน็ต
     3.  การประยุกต์อินเทอร์เน็ตทางการจัดกิจกรรมการสอนของหลักสูตรเดิม  เช่น  การรับส่งการบ้านทางอินเทอร์เน็ต  การค้นคว้าข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เพื่อจัดทำรายงานและอื่นๆ 
  4.   การศึกษาทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต  เป็นการเรียนการสอนรูปแบบใหม่  ซึ่งผู้สอนและผู้เรียนไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่เดียวกัน    การเรียนการสอนทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ต  ช่วยขจัดปัญหาการขาดแคลนผู้สอนและข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ของผู้เรียนและผู้สอน 




การสร้างกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

     กิจกรรมการศึกษาในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถแสดงความสัมพันธ์ของกิจกรรมต่าง ๆ เพราะจำนวนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต่อการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษามีความสัมพันธ์กันในอัตราส่วนที่ลดลงโดยพบว่าขั้นพื้นฐานจะมีจำนวนประชากรที่ใช้อินเทอร์เน็ตมาก จำนวนของผู้ใช้ที่มีทักษะ หรือความสามารถในการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตกลับมีจำนวนที่ลดลง
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้วิธีการที่จะสร้างให้มีกิจกรรมเพื่อการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างได้ผล จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการวางแผนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ให้เป็นบริการสาธารณูปโภคของประเทศที่มีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในเวลาอันรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ซึ่งปัจจุบันมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้รับการสนับสนุนจากทบวงมหาวิทยาลัย (Uninet) ส่วนโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาก็ได้รับการสนับสนุนจาก Schoolnet Thailand เช่นกัน
     การบริการอินเทอร์เน็ตระดับพื้นฐาน แต่ละขั้นจะมีรูปแบบของกิจกรรมการศึกษาที่แตกต่างกัน การใช้ระบบเครือข่ายระดับพื้นฐานคือการใช้อินเทอร์เน็ตตามโครงสร้างของสาธารณูปโภคที่มีใช้กันอยู่ในทุกแห่ง สาเหตุที่จะทำให้ กลุ่มผู้ใช้ที่ยังไม่รู้จักเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนเจตคติมายอมรับเพื่อเข้าร่วมในการใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตน่าจะเป็นเพราะความสามารถในการสื่อสารระหว่างบุคคล และความสามารถของอินเทอร์เน็ตในการเข้าถึงข้อมูลที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ทั่วโลกด้วยเวลาอันรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถแบ่งบริการที่มีอยู่ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ว่า
    • เป็นบริการด้านการสื่อสารระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลต่อกลุ่มบุคคล
    • เป็นบริการเพื่อการเข้าถึงแหล่งข้อมูล
การใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันที่สามารถนำมาเป็นตัวอย่างได้แก่ การใช้ e-mail ในการสื่อสารระหว่างบุคคล การใช้ WWW เพื่อสืบหาและเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ



สรุป

    เพื่อส่งเสริมให้เป้าหมายทางการศึกษาทางอินเทอร์เน็ตประสบความสำเร็จ เราจำต้องจัดกิจกรรมทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์และพัฒนาความสามารถของครู เพื่อนำไปสู่การเข้าถึงข้อมูลและการใช้บริการต่างๆ เพื่อเทคโนโลยีการสื่อสารในการศึกษาดังสรุปเป็นตาราง 1
การที่จะนำนักเรียนไปถึงเป้าหมายของการศึกษาซึ่งสัมพันธ์กับเครื่องมือต่างๆ ทางอินเทอร์เน็ต ครูจะต้องทดลองใช้ปฏิสัมพนธ์ทางอินเทอร์เน็ตเสียก่อนไม่เพียงแต่เพื่อให้เป็นผู้นำและผู้ออกแบบที่ประสบผลสำเร็จในด้านนี้เท่านั้น แต่เป็นการใช้เครือข่ายจากความต้องการของตนเองและเพื่อไปสู่เป้าหมายของกิจกรรม โดยได้รับการปรับหลักสูตรและจุดประสงค์ ให้สอดคล้องกับการเรียนแบบบรรยายอีกด้วย
นอกจากนี้การศึกษาที่ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถแยกได้เป็น 2 ประเด็น คือ
    1. การศึกษาระบบเครือข่าย หมายถึง ข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสารถูกมองว่าเป็นแขนงวิชาหนึ่งในการกระบวนการเรียนการสอน
    2. การใช้เครือข่ายเพื่อการศึกษา หมายถึง ข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสารถูกใช้เป็นเครื่องมือและองค์ประกอบในระบบการศึกษา เช่น การเรียนผ่านอินเทอร์เน็ต
ผู้นำโครงการทางการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตต้องมีความรู้และความสามารถจัดให้มีการใช้อินเทอร์เน็ตขั้นพื้นฐานกับสมาชิกในกลุ่มได้ โดยมีการปรับปรุงการบริหาร การร่วมกันใช้ข้อมูล การจัดการของกลุ่มการเรียน และการหาเครือข่าย ด้วยการใช้คุณสมบัติต่างๆ ของเครื่องมือที่มีอยู่แล้วจัดให้เป็นแหล่งความรู้และนำไปสู่ความสำเร็จของกระบวนการศึกษา




 

เครือข่ายสังคมออนไลน์


สังคมออนไลน์...

    แนวคิดเรื่อง (Social Network) หรือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ มักปรากฎให้เห็นในลักษณะของการนำมาใช้เพื่อดำเนินงานหรือกิจกรรมต่างๆ โดยมีตัวบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันเป็นเครือข่าย เพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกัน แลกเปลี่ยนแบ่งปันทรัพยากร ข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ แต่ปัจจุบันคำว่า (Social Network) จะหมายถึงระบบเครือข่ายบนโลกออนไลน์ หรือการติดต่อสื่อสารถึงกันผ่านอินเทอร์เน็ตนั่งเอง Wikipedia (2009) ให้ความหมาย (Social Network) ว่า เป็นโครงสร้างสังคมที่ประกอบด้วยโหนด (Node) ต่างๆ เชื่อมต่อกัน ซึ่งแต่ละโหนดที่เชื่อมโยงกันก็อาจมีความสัมพันธ์กับโหนดอื่นๆ ด้วย โดยอาจมีระดับของความสัมพันธ์กัน มีความซับซ้อน มีเป้าหมาย



 เครือข่ายสังคมออนไลน์กับการศึกษา


พูดถึงสื่อสังคมออนไลน์แล้ว คนกลุ่มแรกๆ ที่ผมมักคิดถึงคือกลุ่มเด็กนักศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มคนยุคใหม่ที่น่าจะมีความสนใจในสื่อประเภทสังคมออนไลน์มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง คำถามที่ตามมาก็คือบรรดาสถาบันของพวกเขาให้ความสำคัญกับสื่อประเภทนี้มากน้อยขนาดไหน แล้วจะดีหรือไม่ถ้าบรรดาสถาบันการศึกษาเหล่านั้นหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้…

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงรูปแบบการนำบรรดาสื่อออนไลน์ไปใช้หลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศว่าวันนี้จะมีเรียนที่ไหนอย่างไร อาจารย์เอาเอกสารประกอบการสอนมาแชร์ การถ่ายภาพแบบ 360 องศาของห้องเรียนให้คนภายนอกดู การช่วยให้สถาบันค้นหานักศึกษาที่โดดเด่น หรือแม้กระทั่งก้าวไปถึงการช่วยให้ผู้ด้อยโอกาสมีโอกาสในการศึกษแนวคล้ายๆ กับการศึกษาทางไกล 

แน่นอนว่าสถาบันการศึกษาที่นำสื่อสังคมออนไลน์มาใช้คงไม่ได้ประสบความสำเร็จไปเสียทุกที่ แต่สถาบันหลายแห่งที่ประสบความสำเร็จนั้น มักจะมีลักษณะคล้ายกันอย่างหนึ่ง นั่นคือการเปิดให้บรรดาครูอาจารย์สามารถเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยถูกต้องในเรื่องต่างๆ เพื่อไม่ให้การนำสื่อเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิด ในเรื่องนี้หลายส่วนได้ให้ความเห็นว่าการให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมมือในการเรียนการสอนด้วยการให้แสดงความคิดเห็นจากนักเรียนนักศึกษา ที่เสมือนกับการสื่อสารตลอดเวลากับครูอาจารย์ ทำให้การเรียนการสอนพัฒนาไปได้ดียิ่งขึ้น
สุดท้ายเป็นเรื่องเนื้อหาหรือ Content ที่ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือยุคที่เนื้อหาสาระที่นำเสนอเป็นเรื่องที่สำคัญเอามากๆ ยิ่งใครที่มีเนื้อหาที่ดีและมีจำนวนมาก (ต้องมีทั้งคู่ควบคู่กันไป) ก็ยิ่งได้เปรียบ สถาบันที่ประสบความสำเร็จในการบริหารสื่อออนไลน์ สามารถชักชวนให้นักเรียนนักศึกษาเข้ามาสร้างสรรค์เนื้อหาสาระในสังคมออนไลน์ และนี่กลายเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนให้สถาบันนั้นๆ ประสบความสำเร็จ

ตรงกันข้ามกับอีกลุ่มที่พบอุปสรรคมากมาย อย่างการขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจมาจัดการกับสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้สุดท้ายบรรดาผู้ใช้งานอย่างนักเรียนนักศึกษาขาดความเชื่อมั่น และไม่ใช้สื่อที่สถาบันการศึกษานั้นบริหารอยู่ หรือสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวขาดการทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมหรือผูกพันธ์ ก็จะไม่มีทางได้รับความสำเร็จจากการบริหารสื่อออนไลน์ได้เด็ดขาด
สุดท้ายแล้วความสม่ำเสมอในการให้ข้อมูล สร้างเนื้อหา หรือติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้ก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้สถาบันนั้นๆ ประสบความสำเร็จ แม้แต่ Facebook ยังใช้เวลานานกว่าที่จะก้าวมาจนถึงจุดที่ยืนอยู่ ณ วันนี้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องสร้างความมั่นคง สม่ำเสมอกับสื่อประเภทนี้ให้ได้ จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ

สถาบันการศึกษาต่างประเทศที่ผู้สำรวจได้ไปลองถาม โดย 5 อันดับที่ได้รับการยกย่องว่าสามารถจัดการกับสื่อสังคมออนไลน์ได้ดีมากๆ ก็ได้แก่ :-
  • John Hopkins University: ซึ่งมีคนกด Likes บน Facebook ให้มากถึง 16,976 คน, มีผู้ติดตามจำนวน 4,324 คน บน Twitter, และคนดูใน YouTube มากถึง 89,501 ครั้ง
  • มหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง Harvard University นั้นมีคนกด Likes บน Facebook ให้มากถึง 1,281,596 คน, มีผู้ติดตามจำนวน 95,352  คน บน Twitter, และคนดูใน YouTube มากถึง 1,292,259 ครั้งเลยทีเดียว
  • University of Notre Dame: มีคนกด Likes บน Facebook ให้มากถึง 52,569 คน, มีผู้ติดตามจำนวน 5,014 คน บน Twitter, และคนดูใน YouTube มากถึง 153,575 ครั้ง
  • Ohio State University: ซึ่งมีคนกด Likes บน Facebook ให้มากถึง 407,848 คน, มีผู้ติดตามจำนวน 25,111 คน บน Twitter, และคนดูใน YouTube มากถึง 116,127 ครั้ง
  • สุดท้ายก็คือมหาวิทยาลัยอย่าง Columbia University, NY: ที่มีคนกด Likes บน Facebook ให้มากถึง 33,321 คน, มีผู้ติดตามจำนวน 2,426 คน บน Twitter, และคนดูใน YouTube มากถึง 184,071 ครั้ง


  

บทบาทของคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา






บทบาทของคอมพิวเตอร์ด้านการเรียนการสอน

            คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน (Computer Assisted Instruction) หมายถึงการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในกิจกรรมการเรียนการสอนในเนื้อหาวิชาต่างๆ การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้ครูผู้สอนไม่ต้องเสียเวลากับการงานบริหาร ครูผู้สอนจะได้มีเวลาไปปรับปรุงบทเรียนให้ทันสมัยและมีเวลาให้กับนักเรียน มากขึ้น เช่น การจัดเลือกข้อสอบ การตรวจและให้คะแนนและวิเคราะห์ข้อสอบ การเก็บประวัตินักเรียนเฉพาะวิชาที่สอนเพื่อดูพัฒนาการด้านการเรียนและการ ให้คำปรึกษา และช่วยในการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการเรียนการสอนของวิชาที่สอน รวมถึงการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการจัดการเรียนการสอนจะทำให้ครูผู้สอนสามารถ วิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อออกแบบและพัฒนาระบบการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกับวัตถุประสงค์และความต้องการของผู้เรียน ได้แก่ การจัดทำสื่อการสอน , การจัดการเรียนการสอนนักเรียน และรูปแบบ วิธีการสอน โดยการนำ คอมพิวเตอร์มาช่วย เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI. (Computer Assisted Instruction) หรือ การสอนแบบออนไลน์ ผ่านเวบไซท์ต่างๆ




บทบาทของคอมพิวเตอร์ด้านการบริหาร

  คอมพิวเตอร์ในการบริหาร

 การใช้คอมพิวเตอร์ในการบริหาร นับเป็นจุดเริ่มแรกของการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในวงการศึกษา สามารถแยกเป็น 2 ด้าน คือ
     1.ในด้านของผู้บริหารสถาบันการศึกษา คอมพิวเตอร์สามารถช่วยผู้บริหารสถาบันการศึกษาในการทำงานด้านต่างๆ เช่น การบัญชี การจัดตารางสอน การเก็บบันทึกข้อมูล และการควบคุมทรัพย์สินของสถานบัน เป็นต้น
     2.ในด้านการบริหารงานของครูผู้สอน เนื่องจากครูผู้สอนย่อมต้องมีกิจกรรมในเรื่องต่างๆ มากมายนอกเหนือไปจากงานด้านสอนปกติ ได้แก่ งานด้านการเขียน เช่น การเขียนรายงาน การเตรียมโน้ตย่อบทเรียน การเตรียมแบบทดสอบ งานด้านการคิดคำนวณ เช่น การตรวจและการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน และงานด้านการเตรียมบทเรียนและการจัดทรัพยากรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น 




บทบาทของคอมพิวเตอร์ด้านการบริการ

                คอมพิวเตอร์ด้านการบริการ หมายถึงการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการอำนวยความสะดวกในด้านการบริการต่างๆใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการด้านการบริการเพื่อการศึกษา ทั้งในระดับโรงเรียน และมหาวิทยาลัย นั่นก็คือ การลงทะเบียนวิชาเรียน การตรวจสอบผลการเรียนผ่านทางเว็บไซต์ การให้บริการข้อมูลทางการศึกษาของทางโรงเรียน และทางมหาวิทยาลัย การสืบค้นข้อมูลต่างๆที่เป็นความรู้ เป็นประโยชน์ การสืบค้นหนังสือที่ห้องสมุด การจองหอพัก การจัดระบบข้อมูลของ การจัดทำสถิติต่างๆที่เป็นข้อมูลเพื่อการบริการ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว คล่องแคล่วในการใช้งาน และเป็นระบบอย่างชัดเจน นอกจากนี้สถานศึกษายังมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในด้านการบริการ งานบุคลากร การเงิน การบัญชี การประชาสัมพันธ์ ทะเบียนนิสิตนักศึกษา ตรวจสอบความถูกต้องในการลงทะเบียน รายงานผลการเรียน




ประโยชน์

         . คอมพิวเตอร์สามารถเปลี่ยนแปลงจุดเริ่มต้นและจังหวะช้าเร็วของการเรียนการสอน ให้เข้ากับนักเรียนแต่ละคนและทุกๆ คนได้ทันทีทันใด
    . งานซ้ำซากที่ครูไม่อยากทำและไม่น่าจะต้องทำ เช่น จัดทำตารางสอบ รวมคะแนนสอบ จัดลำดับคะแนน คำนวณหาคะแนนเฉลี่ย ครูก็จะไม่ต้องทำ เพราะให้คอมพิวเตอร์ทำแทนได้
    . ครูมีเวลาเอาใจใส่ ช่วยแนะนำแก้ปัญหาด้านจิตใจ ด้านครอบครัว ให้เด็กได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น
    . คอมพิวเตอร์สามารถเก็บประวัติผลการเรียนของเด็กทุกคน  ทุกวิชา ได้อย่างละเอียดมากกว่าที่ครูจะจำได้หมด และคอมพิวเตอร์สามารถเสนอรายงานด้านต่างๆเกี่ยวกับเด็กแต่ละคนให้ครูได้ใช้ประกอบการตัดสินใจได้รวดเร็วทันใจกว่าที่ครูจะให้เลขานุการช่วยค้น หรือที่ครูจะลงมือทำประวัติเหล่านั้นด้วยตนเอง
    . เด็กสามารถเลือกเรียนวิชาที่ตนสนใจได้ แม้ว่าโรงเรียนที่เด็กอยู่นั้น จะไม่มีครูที่มีความรู้ความสามารถจะสอนวิชานั้นๆ ได้
    . เราสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้  ได้ง่ายกว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของครู เพราะเครื่องไม่มีความรู้สึกว่าจะเสียเหลี่ยมที่จะต้องยอมรับว่า  อะไรที่เคยทำอยู่แล้วนั้นไม่เหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบัน จำเป็นต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
    . การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการเรียนการสอนอาจจะทำให้ทั้งเด็กและครูเข้าใจความเกี่ยวข้องของวิชาต่างๆมากขึ้น
    . การให้เด็กได้รู้จักการใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังอยู่ในโรงเรียน  จะเป็นการเตรียมให้เด็กไม่กลัวการใช้คอมพิวเตอร์เมื่อจบการศึกษาไปแล้ว  เพราะในอนาคตนั้นงานทางด้านรัฐบาลและเอกชนก็จะต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น




แนวโน้มในอนาคต



      การเติบโตของเทคโนโลยีสารสนเทศมีลักษณะเป็นแบบก้าวหน้า เช่น มีการพัฒนาทุกๆ สามปี และพัฒนาการทางความเร็วของคอมพิวเตอร์จะเพิ่มขึ้นได้ประมาณสองเท่า
เมื่อเป็นเช่นนี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมี แนวโน้มที่จะก้าวไปได้อีกมาก
ความฝันหรือจินตนาการต่างๆ ที่คิดไว้ จะเป็นจริงในอนาคต พัฒนาการเหล่านี้ย่อมมีบทบาท
ที่สำคัญต่อการศึกษาอย่างมาก องค์กรที่ทำหน้าที่ในการวางแผนการศึกษาของชาติ
จะต้องให้ความสำคัญกับ การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างเต็มที่ การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ
มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์จึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ตามการลงทุน
ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมีราคาค่อนข้างสูง จึงจำเป็นต้องเลือกสรรให้เหมาะสม
กับการใช้ประโยชน์ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต้องมีการศึกษา และวางแผนให้เหมาะสม
เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด