ถ้าหากให้ผมวิเคราะห์ลักษณะการเรียนรู้ของตัวผมแล้วนั้น ก็คงจะสัมพันธ์กับหลักทฤษฎีของ ธอร์นไดค์ (Thorndike) ซึ่งได้กล่าวว่าการเรียนรู้คือ การที่ผู้เรียนสามารถสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยง(Bond)ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองและได้รับความพึงพอใจจะทำให้เกิดการเรียนรู้ การเรียนรู้เกิดจากการลองผิดลองถูกโดยเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการที่มองเห็นความต่อเนื่องของปัญหา หรือมองเห็นการเชื่อมโยง หรือเกี่ยวข้อง ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก ผู้เรียนต้องอาศัยเวลาหรือจำนวนครั้งของการลองผิดลองถูกมากเพียงพอ จึงจะนำสู่เป้าหมายที่ต้องการได้สำเร็จ โดยมีกฎของการเรียนรู้ดังนี้
1.) กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness)
2.) กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Repetition)
3.) กฏแห่งการความพอใจ (Law of Effect)
... วิเคราะห์ลักษณะการเรียนรู้ของตัวเองกับหลักทฤษฎีการเรียนรู้ ธอร์นไดค์ ...
ผมเป็นคนที่มีใจรักในงานด้านศิลปะ โดยเฉพาะงานออกแบบต่างๆ ชีวิตผมตั้งแต่เด็กพ่อกับแม่มักปลูกฝังให้วาดภาพและระบายสี ในช่วงเวลาว่าง แม้กระทั่งกิจกรรมในครอบครัวในวันหยุดเอง พ่อกับแม่ก็มักจะชวนผมวาดภาพ ระบายสี ปั้นดินน้ำมัน และสิ่งต่างๆที่ล้วนแต่เป็นงานศิลปะ ทำให้งานศิลปะซึมซับอยู่ในตัวผมไม่มากก็น้อย และผมเองก็คิดว่าการเรียนรู้ของผมที่ผ่าน กว่าจะมาถึงวันนี้งานศิลปะที่กะโหลกกะลาในวันนั้น ถ้าไม่ได้ผ่านการขัดเกลา จะเป็นชิ้นงานที่สวยงามอย่างวันนี้ได้หรือไร นั่นก็หมายความว่าเราเกิดการเรียนรู้ เกิดการพัฒนา
จะเปรียบชีวิตและการเรียนรู้ของผมเป็นงานศิลปะสักชิ้นนึง ที่ใครหลายๆคนมักมองว่าชีวิตเราเกิดมา เลือกเกิดไม่ได้ ออกแบบก็ไม่ได้ แท้จริงแล้ว ชีวิตคนเราแม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะออกแบบชีวิตของตัวเองได้ ...
ช่วงชีวิตของคนเรานั้น
สามารถเปรียบเทียบได้กับ
ขั้นตอนในการทำงานศิลปะ
.
.
.
ขั้นตอนการตัด
เราทุกคนล้วนมีบางสิ่งในชีวิตที่ต้องตัดทิ้งไป หากไม่ยอมสลัดมันทิ้ง ชีวิตของเราอาจเจริญ
ก้าวหน้าไปได้ช้าหรือไม่เจริญก้าวหน้าเลยก็เป็นได้ แต่หลายๆ คนไม่ยอมตัดทิ้ง
เพราะ เขากลัว กลัวความเปลี่ยนแปลง
ที่จะเกิดกับชีวิต ทั้งๆ ที่การเปลี่ยนแปลงนั้น จะนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าก็ตามที
บางคนรู้สึกคุ้นเคยกับส่วนที่ไม่ดีในชีวิตมากเกินไป ดังนั้นแทนที่จะยอมให้ส่วนที่
ไม่ดีเหล่านั้นโดนตัดทิ้งเขากลับยอมที่จะวิ่งหนีจากหนทางของการเปลี่ยนแปลงนั้น
ถ้าเราไม่พร้อมที่เดินไปข้างหน้าเพื่อยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้น
ก็เท่ากับเราก็ย่ำอยู่กับที่ ความพร้อมจึงจำเป็นอย่างมาก
1.) กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness)
การเรียนรู้ของตัวผมนั้น ผมเป็นคนที่ชอบวาดๆเขียนๆ และออกแบบสิ่งต่างๆ โดยที่ทางครอบครัวก็ให้การสนับสนุนมาเสมอ โดยตอนเด็กๆผมมักจะถูกส่งไปเรียนศิลปะ เพิ่มเติมเพราะพ่อกับแม่เชื่อว่าศิลปะจะทำให้ผมเป็นคนที่อ่อนโยนได้ ผมมีความสุขกับมัน ผมไม่เคยปฏิเสธในการเรียนศิลปะ มันทำให้ผมมองเห็นแล้วว่าผมมีใจที่รัก และพร้อมจะพัฒนาฝีมือตัวเองให้ก้าวไป และยอมรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆให้กับชีวิต ถ้าใจเราไม่พร้อม ชีวิตก็คงไม่มีจุดยืนที่มั่นคง ผมพร้อมที่จะฝึกฝน เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์ให้กับชีวิตของตัวผมเอง
ขั้นตอนการแกะสลัก/ออกแบบ
การแกะสลักนั้น คืองานศิลปะ ที่ต้องใช้ทั้งความประณีต และความอดทน?ต้องทำไปอย่างช้าๆ
และทุ่มเท ก็เปรียบได้กับชีวิตคนเราในการเรียนรู้ หรือทำอะไรซักอย่าง ถ้าอยากจะให้ออกมาดี
และประสบความสำเร็จนั้น คุณต้องมีความอดทน ทุ่มเทกับสิ่งที่กำลังทำอยู่อย่างตั้งใจ
2.) กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Repetition)
การออกแบบ การวาดรูปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมต้องฝึกฝนและหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เพราะสิ่งที่ผมเรียนอยู่ในตอนนี้มันคือ เทคโนโลยีสื่อสารการศึกษา แต่สิ่งที่ผมชอบคืองานออกแบบ ผมจึงต้องขวนขวายในสิ่งที่รักเ็นพิเศษ โดยในเวลาว่างก็จะไห้องสมุดของ TCDC ซึ่งเ็ป็นห้องสมุดที่รวยรวมหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบ สถาปัตกรรมต่างๆมากมายไว้ให้ศึกษา รวมทั้งการเรียนพิเศษ โดยมีครูเ็ป็นเพื่อนที่เรียนรู้คณะสถาัปัตยกรรมศาสตร์ ลาดกระบัง โดยที่เพื่อนจะเป็นคนคอยสอนชี้แนะแนวทาง ความรู้ที่ถูกต้อง เราเองก็ต้องศึกษา และขยันที่จะจดจำ และฝึกหัดให้เก่ง ให้คล่องคล่อง ให้ผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ ให้ผลงานได้รับการชื่นชม ต้องฝึกวาด ฝึกออกแบบอยู่สม่ำเสมอ ต้องทุ่มเท จะเกิดผล
ขั้นตอนการตัดการขัดหยาบและขัดเงา
หลังจากที่หินหรือไม้ที่ศิลปินใช้เป็นวัตถุดิบในการแกะสลักเริ่มที่จะเป็นรูปเป็นร่างแล้วนั้น
เขาจะนำกระดาษทรายมาขัดที่ชิ้นงานนั้นเม็ดทรายบนกระดาษทรายก็เปรียบเสมือนอุปสรรค
ที่ได้มากระทบตัวเรา มันมักจะสร้างความเจ็บปวดให้เราเสมอแต่นั้นก็จะทำให้เราแข็งแกร่ง
และสวยงามยิ่งขึ้นไปอีกขั้นตอนสุดท้ายที่ทำให้ชิ้นงานศิลปะนั้นดูสวยงาม
สมบูรณ์แบบมากที่สุด ความงามของงานศิลปะนั้นก็เปรียบเสมือนความสำเร็จที่เราได้รับ
หลังจากที่ผ่านขั้นตอนต่างๆของชีวิตมามากมาย ทำให้เราดูงดงามดั่งเช่นงานศิลปะ
3.) กฏแห่งการความพอใจ (Law of Effect)
จากความพร้อมที่ใจผมมีและรักในงานออกแบบ ก้าวมาสู่การฝึกฝนและมุ่งมั่น ผมคิดว่าผมพอใจในสิ่งที่ผมทำอยู่ ผมพอใจในงานออกแบบของผมในระดับหนึ่ง ผมพอใจที่ผมได้มีส่วนร่วม ส่วนช่วยในงานออกแบบ จนได้รางวัลมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรางวัลการออกแบบเสื้อวันรพี ซึ่งก็ได้รางวัลรองชชนะเลิศ รางวัลชนะเลิศการออกแบบแสตนเชียร์กีฬาพรรค โรงเรียนเบญจมราชูทิศ มันก็เ็นผลงานที่ผมภาคภูมิใจ เป็นเสมือนรางวัลที่คอยเสริมแรงให้พัฒนาและก้าวต่อไอย่างไม่หยุดนิ่ง เพราะถ้าเราหยุดที่จะพัฒนาตัวเองเมื่อไหร่ การเรียนรู้เราก็จะจบลงเมื่อนั้นเช่นกัน
" แค่ฉุกคิด ... ชีวิต สำเร็จ "
ขอขอบคุณ ...
- เอกสารประกอบการเรียน เรื่่อง หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอนรายบุคคล โดย อ.ดร.นัทธีรัตน์ พีระพันธุ์ ภาควิชาเทคโนโลยีสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
- http://kasama26.blogspot.com/2010/11/thorndike-connectionism-theory-bond.html
- http://www.nuttowa.com






ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น